struct

Struct

หากใครเคยเขียน java จะมี class ให้ซึ่งทาง go ก็มีคล้าย ๆ กันที่เรียกว่า struct และรองรับแนวคิด oop ถึงแม้ว่าจะรองรับ oop แต่ก็ไม่ใช่ oop แท้ซะทีเดียว

NOTE : ในภาษา go มีแต่ pass by value และ pass by pointer เท่านั้น

Struct initialization

การ initialze ใน go มี 3 แบบดังนี้

1. define variable และตามด้วย Type

  var cat Cat
  cat.Run()

2. assign Cat type แบบ dynamic typing

  cat1 := Cat{}
  cat1.Run()

3. ใช้ keyword new ที่ build-in มากับภาษาเพื่อนำมาใช้ initialize

ข้อแต่งต่างของการใช้ new คือเป็นการ initialize Cat พร้อมกับ return pointer ของ struct Cat ซึ่งแตกต่างกับวิธีที่ 1 และ 2 ที่ return แค่ value เท่านั้น

  cat2 := new(Cat)
  cat2.Run()

Access modifier

ในภาษา java มี 4 ชนิด private , protectd , public , default แต่ในภาษา go นั้นมีแค่ public และ private เท่านั้นเพื่อลดความซับซ้อน

java

    class Box {
      public int width;
      public int hight;
      private int x;
      private int y;
    }

go

    type Box struct {
      Width int
      Hight int
      x int
      y int
    }

สังเกตว่าภาษา Go ไม่มี keywords private public แต่ใช้ตัวเล็กตัวใหญ่ขึ้นต้น

• การขึ้นต้นด้วยตัวเล็กเป็น private

• การขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เป็น public

Behavior of Object

method ในภาษา Go นั้นจะไม่อยู่ใน struct เหมือนที่ method อยู่ใน class ของ java

non-pointer receiver

การที่ go จะรู้ว่า function run นั้นเป็นของ Cat ได้นั้นจำเป็นต้องมี (c Cat) เราเรียกสิ่งนี้ว่า receiver แบบไม่มี pointer

    type Cat struct {
        Name string
     }

    func (c Cat) Run() { 
      fmt.Println(c.Name,"is runing.") 
      c.Name = "alter"
    }

การที่เป็น non-pointer receiver นั้นจะทำให้ properties ของ struct ไม่ถูกเปลียนแปลง (Immutable) หาก function ต่าง ๆ มีการเรียกใช้ properties ของ struct ขึ้นมาและได้แก้ไข้ state เกิดขึ้นก่อน function จะจบการทำงานลง state ของ properties จะไม่โดนเปลียน ทำให้ไม่กระทบกับการทำงานของ function อื่น (free side-effect) ซึ่งทำให้ function เหล่านั้นกลายเป็น pure function นั้นเอง

ตัวอย่าง

    func main() {
      cat := Cat{
        Name: "nano"
      }
      cat.Run() //nano...run
      cat.Run() //nano...run
    }

ภายใน function Run ได้มีการ set ชื่อใหม่ให้กับ cat ก่อนจะจบการทำงาน จากนั้นเรียก function Run อีกรอบ สิ่งที่ได้คือชื่อไม่ถูกเปลียนแต่ออกมาเป็นชื่อเดิม

pointer receiver

หากต้องการเปลียนแปลง state ของ propterties ภายใน struct จำเป็นต้องใช้ pointer เพื่อเข้าถึง address ของค่าเหล่านั้น การที่เป็น pointer receriver เมื่อมีการเรียกใช้งาน function ของ struct นั้น ๆ จะชี้ไปที่ address เดียวกันเสมอทำให้สามารถเปลียนแปลงค่าภายใน struct ได้นั้นเองและถ้า struct มีขนาดใหญ่การใช้ pointer receiver จะทำให้ประหยัด memory ได้มาก

    type Cat struct {
        Name string
     }

    func (c *Cat) Run() { 
      fmt.Println(c.Name,"is runing.") 
      c.Name = "alter"
    }

ตัวอย่าง

    func main() {
        cat := Cat{
          Name: "nano"
        }
        cat.Run() //nano ...run
        cat.Run() //alter ...run
    }