Automated Golang User API (Fiber + GORM + Postgres)

โปรเจกต์ตัวอย่าง API Create User ด้วย Go + Fiber + GORM + Postgres ครบพร้อมเทส 3 ระดับ (Unit / Integration / E2E) และ Docker Compose สำหรับฐานข้อมูล ฝั่งนี้เน้น อธิบายละเอียด ไล่ตั้งแต่ไฟล์ docker-compose.yml, main.go จนถึงโครงสร้างภายใน (internal/user) ว่าแต่ละบรรทัดทำอะไร ทำไมต้องเขียนแบบนั้น และจุดที่ควรระวัง

---

สารบัญ

• Stack และ Requirements

• โครงสร้างโปรเจกต์

• Docker Compose (Postgres)

  • อธิบายบรรทัดต่อบรรทัด

• รันแอปบนเครื่อง (เชื่อม Postgres ใน Docker)

• ไฟล์ main.go อธิบายบรรทัดต่อบรรทัด

• เลเยอร์ภายใน internal/user

  • model.go
  • repository.go
  • service.go
  • validator.go
  • handler.go

• สัญญา API (Contract)

• การทดสอบ

  • Unit (Service/Handler)
  • Integration (Repository + Postgres via Testcontainers)
  • E2E (HTTP flow จริง)
  • คำสั่งรันและเคล็ดลับ

• Troubleshooting & Notes

• Next Steps

---

Stack และ Requirements

• Go 1.22+
• Fiber v2 (เว็บเฟรมเวิร์ก)
• GORM (ORM) + ไดรเวอร์ Postgres
• Postgres 17 (รันด้วย Docker Compose)
• testcontainers-go (สำหรับ Integration/E2E ที่ใช้ Postgres จริงในคอนเทนเนอร์)

หมายเหตุ: ถ้ารันเทสต์ที่อาศัย Testcontainers ต้องมี Docker Desktop/Engine เปิดอยู่

---

โครงสร้างโปรเจกต์

automated-golang/
  docker-compose.yml
  go.mod
  main.go
  internal/user/
    model.go
    repository.go
    service.go
    validator.go
    handler.go
    # tests
    service_test.go                  # Unit (Service)
    handler_test.go                  # Unit (Handler)
    repo_integration_postgres_test.go# Integration (Postgres via Testcontainers)
    e2e_test.go                      # E2E (ยิง HTTP จริง)

---

Docker Compose (Postgres)

ตัวอย่าง (ขั้นต่ำ) ที่คุณเพิ่มไว้:

version: "3.8"

services:
  postgres:
    image: postgres:17
    ports:
      - "5432:5432"
    environment:
      POSTGRES_USER: postgres
      POSTGRES_PASSWORD: postgres
      POSTGRES_DB: postgres
    volumes:
      - postgres_data:/var/lib/postgresql/data

volumes:
  postgres_data:

แนะนำเพิ่มเติม: ใส่ healthcheck เพื่อให้ service อื่น (เช่นแอป) รอจน Postgres พร้อม

healthcheck:
  test: ["CMD-SHELL", "pg_isready -U postgres"]
  interval: 5s
  timeout: 3s
  retries: 10

อธิบายบรรทัดต่อบรรทัด (Compose) {#อธิบายบรรทัดต่อบรรทัด-compose}

• บรรทัด 1 version: "3.8" – ระบุสเปคของ compose file
• บรรทัด 3 services: – ส่วนประกาศบริการที่เราจะรัน
• บรรทัด 4 postgres: – ชื่อ service = postgres (จะกลายเป็น hostname ภายใน network ของ compose)
• บรรทัด 5 image: postgres:17 – ใช้ image official ของ Postgres เวอร์ชัน 17
• บรรทัด 6-7 ports: "5432:5432" – map พอร์ต 5432 ของคอนเทนเนอร์ออกสู่เครื่อง host → แอปรันบนเครื่องเชื่อมต่อผ่าน localhost:5432
• บรรทัด 8-11 environment: – เซ็ตค่าเริ่มต้นของ DB (user, password, db name)
• บรรทัด 12-13 volumes: – ผูกโฟลเดอร์ข้อมูลในคอนเทนเนอร์กับ volume ชื่อ postgres_data เพื่อให้ data คงอยู่ระหว่างการ restart/upgrade
• บรรทัด 15-16 volumes: – ประกาศ volume ชื่อ postgres_data

คำสั่งใช้งานเร็ว ๆ

docker compose up -d          # สตาร์ต Postgres
docker compose logs -f postgres
docker compose ps

---

รันแอปบนเครื่อง (เชื่อม Postgres ใน Docker)

1. ติดตั้งไดรเวอร์ Postgres สำหรับ GORM

go get gorm.io/driver/postgres

2. สตาร์ตฐานข้อมูล

docker compose up -d

3. รันแอป (บนเครื่อง)

go run .     # หรือ go run main.go

เมื่อรันบนเครื่อง host ให้ใช้ host=localhost ใน DSN (ดูใน main.go ด้านล่าง)

---

ไฟล์ main.go อธิบายบรรทัดต่อบรรทัด

หมายเหตุ: อ้างอิงตามไฟล์ที่คุณส่งมา (จำนวนบรรทัดอาจต่างถ้าเพิ่ม/ลบ import) — ข้างล่างคือ mapping โดยประมาณ [1–38]

1  package main

3  import (
4      "automated-golang/internal/user"
5      "fmt"
6      "log"

8      "github.com/gofiber/fiber/v2"
9      "gorm.io/driver/postgres"
10     "gorm.io/gorm"
11 )

13 func main() {
14     dsn := fmt.Sprintf(
15         "host=%s port=%s user=%s password=%s dbname=%s sslmode=disable timezone=Asia/Bangkok",
16         "localhost",
17         "5432",
18         "postgres",
19         "postgres",
20         "postgres",
21     )
22     db, err := gorm.Open(postgres.Open(dsn), &gorm.Config{})
23     if err != nil {
24         log.Fatal(err)
25     }
26     if err := db.AutoMigrate(&user.User{}); err != nil {
27         log.Fatal(err)
28     }

30     repo := user.NewGormRepository(db)
31     svc := user.NewService(repo)

33     app := fiber.New()
34     user.RegisterRoutes(app, svc)

36     log.Println("listening on :8080")
37     log.Fatal(app.Listen(":8080"))
38 }

อธิบายทีละช่วง

• บรรทัด 1: กำหนดแพ็กเกจ main – ไฟล์ที่โปรแกรมเริ่มรัน

• บรรทัด 3–11 (imports):

  • internal/user – โมดูลโดเมน user ของเรา (model/repo/service/handler)
  • fmt, log – ใช้จัดรูปประโยค DSN และพิมพ์ log/fatal
  • github.com/gofiber/fiber/v2 – เว็บเฟรมเวิร์กสำหรับ HTTP server
  • gorm.io/driver/postgres + gorm.io/gorm – ORM และไดรเวอร์ Postgres

• บรรทัด 13: จุดเริ่ม func main()

• บรรทัด 14–21 (ประกอบ DSN): สร้าง connection string ของ Postgres ด้วย fmt.Sprintf

  • host=localhost – เพราะแอปรันบนเครื่อง host และ Postgres ถูก map พอร์ตไว้ที่เครื่อง (จาก compose)
  • port=5432 – พอร์ตเริ่มต้นของ Postgres
  • user/password/dbname – ต้องตรงกับค่าใน compose
  • sslmode=disable – ปิด SSL (สะดวกสำหรับ local dev)
  • timezone=Asia/Bangkok – เซ็ตโซนเวลา (ข้อแนะนำ: ใช้รูปแบบ TimeZone=Asia/Bangkok ตัวใหญ่-เล็กตรงตามไดรเวอร์; หลายเวอร์ชันรองรับทั้งคู่ แต่เพื่อความชัดเจนควรใช้ TimeZone)

• บรรทัด 22: เปิดการเชื่อมต่อ DB ด้วย GORM โดยส่ง DSN ผ่านไดรเวอร์ postgres

• บรรทัด 23–25: ถ้าเปิดไม่สำเร็จ → log.Fatal ทำให้โปรแกรมจบพร้อมพิมพ์ error

• บรรทัด 26–28 (AutoMigrate): ให้ GORM สร้าง/อัปสคีมา table ของ user.User ให้ตรงกับ struct (field, index, unique constraint)

• บรรทัด 30–31 (Wire dependencies):

  • สร้าง repo := user.NewGormRepository(db) – repository layer ที่คุยกับ DB จริง
  • สร้าง svc := user.NewService(repo) – business logic layer (validate, hash password, map error)

• บรรทัด 33–34 (เว็บเซิร์ฟเวอร์):

  • fiber.New() – สร้างแอป HTTP
  • user.RegisterRoutes(app, svc) – ลงทะเบียนเส้นทาง /users (POST) ผูกกับ service

• บรรทัด 36–37 (Start server):

  • log แจ้งว่าฟังบนพอร์ต :8080
  • app.Listen(":8080") – เริ่มฟัง HTTP; ถ้ามี error ใด ๆ ก็ log.Fatal ปิดโปรแกรม

ถ้าคุณย้ายแอปรัน “ใน Compose เดียวกัน” กับ Postgres ให้เปลี่ยน DSN เป็น host=postgres (ชื่อ service) แทน localhost

---

เลเยอร์ภายใน internal/user

แนวคิดแยกเลเยอร์เพื่อให้ทดสอบได้ง่าย และโค้ดชัดเจน

model.go

• Struct User กำหนดรูปแบบตาราง: ID, Email (unique), Name, PasswordHash, CreatedAt
• DTO: CreateUserRequest, CreateUserResponse สำหรับรับ/ส่งผ่าน API

repository.go

• อินเตอร์เฟซ Repository กำหนด method หลัก: Create, FindByEmail

• NewGormRepository(db) – ติดตั้ง repository บน GORM

• Create(u *User) – เรียก db.Create(u) แล้ว map error ของ Postgres

  • Duplicate email: Postgres error code 23505 → คืน ErrDuplicateEmail

• ข้อดี: ดึงการผูกพันกับ GORM/SQL ไว้ที่ชั้นนี้ ทำให้ Service สามารถ mock ได้ง่ายใน Unit test

service.go

• อินเตอร์เฟซ Service มี Create(ctx, req)

• Flow ของ Create:

  1. ValidateCreate(req) – ตรวจ name/email/password
  2. bcrypt.GenerateFromPassword – แฮชรหัสผ่านก่อนบันทึก
  3. ประกอบ User{...} แล้วเรียก repo.Create
  4. คืน CreateUserResponse (ไม่คืน hash ออกไป)

validator.go

• กฎขั้นต่ำ: name ต้องไม่ว่าง, email ต้องมี @, password ≥ 8 ตัวอักษร
• แยกไฟล์เพื่อให้ทดสอบแยกและ reuse ง่าย

handler.go

• ฟังก์ชัน RegisterRoutes(app, svc) ผูก POST /users

• ขั้นตอนใน handler:

  1. c.BodyParser(&req) – แปลง JSON → struct

  2. svc.Create(...)

  3. แมป error → HTTP status:

     • ErrBadEmail|ErrBadPassword|ErrBadName → 400
     • ErrDuplicateEmail → 409
     • อื่น ๆ → 500

  4. สำเร็จ → 201 Created พร้อม JSON response

---

สัญญา API (Contract)

• POST /users
• Request (JSON)

{
  "email": "a@b.com",
  "name": "Alice",
  "password": "supersecret"
}

• Success 201

{
  "id": 1,
  "email": "a@b.com",
  "name": "Alice",
  "createdAt": "2025-09-06T02:18:27Z"
}

• Duplicate 409

{ "error": "email exists" }

• Bad Request 400 (เช่น email ไม่ถูกต้อง)

{ "error": "invalid email" }

ทดสอบเร็ว ๆ

curl -i -X POST http://localhost:8080/users \
  -H 'Content-Type: application/json' \
  -d '{"email":"a@b.com","name":"Alice","password":"supersecret"}'

curl -i -X POST http://localhost:8080/users \
  -H 'Content-Type: application/json' \
  -d '{"email":"a@b.com","name":"Dup","password":"supersecret"}'

---

การทดสอบ

เทสต์ถูกออกแบบให้สะท้อนเลเยอร์แต่ละส่วน จับบั๊กได้เร็วและแม่น

1) Unit Tests

• service_test.go – ทดสอบ business logic ด้วย mock repo (ไม่แตะ DB)
• handler_test.go – ทดสอบ HTTP handler ด้วย fake service (ไม่แตะ DB)

2) Integration Test (Repository + Postgres จริง)

• repo_integration_postgres_test.go – ใช้ testcontainers-go สปิน Postgres ชั่วคราว, AutoMigrate, แล้วทดสอบ Create + unique constraint (23505)
• ข้อดี: พฤติกรรมตรงกับ DB จริงของเรา 100%

3) E2E Test (HTTP flow จริง)

• e2e_test.go – สร้าง Fiber app + Service + Repository บน Postgres ในคอนเทนเนอร์ → ยิง POST /users 2 ครั้ง (ครั้งสองต้องได้ 409)

คำสั่งรันและทิปส์

go test ./... -v

• ต้องเปิด Docker ให้พร้อม (สำหรับเทสต์ที่ใช้ Testcontainers)
• อยากรันเฉพาะบางเทสต์:

go test ./internal/user -run TestE2E_ -v

---

Troubleshooting & Notes

• CGO / SQLite error: ถ้าใครใช้ SQLite (go-sqlite3) กับ CGO_ENABLED=0 จะเจอ requires cgo → ในโปรเจกต์นี้เราแก้โดย ย้ายเทสต์ทั้งหมดไปใช้ Postgres ผ่าน Testcontainers (ข้อแนะนำอันดับ 1)

  • ถ้ายังอยากใช้ SQLite แบบ cgo-free ใช้ไดรเวอร์ github.com/glebarez/sqlite (แต่พฤติกรรมบางอย่างต่างจาก Postgres)

• TimeZone vs timezone: ใน DSN ของ Postgres แนะนำใช้ TimeZone=Asia/Bangkok (ตัวพิมพ์ใหญ่ตรงตาม convention) เพื่อลดความสับสนระหว่างเวอร์ชันไดรเวอร์

• Host ใน DSN:

  • แอปรันบน host → host=localhost
  • แอปรันใน Compose เดียวกัน กับ Postgres → host=postgres (ชื่อ service)

• Unique constraint: ตรวจ pgconn.PgError{Code: "23505"} ใน repository เพื่อ map เป็น ErrDuplicateEmail ให้ handler ตอบ 409 ได้ถูกต้อง